โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ใช้โค้ด: สิ่งที่คุณควร ทราบ

โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ใช้โค้ด คืออะไร

โปรแกรมสร้างแอปแบบ no-code ใช้งานได้ง่ายตามชื่อ โดยเป็นซอฟต์แวร์การพัฒนาที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้างแอปได้โดยไม่ต้องทราบวิธีการเขียนโค้ด ก่อนหน้านี้สร้างขึ้นเพื่อให้สมาชิกในทีมที่ไม่มีประสบการณ์ในการเขียนโค้ด ซึ่งการพัฒนารูปแบบนี้ช่วยให้ทุกคนสามารถสร้างแอปที่มีฟังก์ชันสมบูรณ์ผ่านทางโปรแกรมแก้ไขภาพที่ไม่ซับซ้อนได้

การพัฒนาแบบไม่ใช้โค้ดทำงาน อย่างไร

ง่ายจนเหมือนกับการจดปากกาลงบนกระดาษแล้ววาดว่าแอปพลิเคชันหรือเว็บเพจควรมีลักษณะอย่างไร

ด้วยอินเทอร์เฟสเชิงประกาศของโปรแกรมสร้างแอปแบบ no-code ทำให้คุณสามารถลากแล้วปล่อยองค์ประกอบที่เขียนโค้ดไว้ล่วงหน้าไปไว้ที่ตำแหน่งที่คุณต้องการและโค้ดก็จะตามไปยังตำแหน่งที่คุณวาง ไม่ได้หมายความว่าไม่มีการเขียนโค้ดเกิดขึ้น แต่องค์ประกอบต่างๆ ได้ถูกสร้างขึ้นแล้วเบื้องหลัง และคุณเพียงแค่เลือกจะวางองค์ประกอบตรงไหน เมื่อใช้สเปรดชีทในระบบคลาวด์อย่าง Excel, Google Sheets หรือ Airtable เก็บข้อมูลและไอเดียที่คุณต้องการแสดงข้อมูลนั้น โปรแกรมนี้ยิ่งจะช่วยให้คุณแสดงข้อมูลนั้นได้ง่ายมาก ทำให้คุณสามารถปรับใช้แอปได้ในเวลาไม่นาน

ประโยชน์ของการใช้โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ใช้ โค้ด

อุปสรรคในการใช้งานน้อยเป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่ทำให้การพัฒนาแอปแบบ no-code น่าสนใจ และข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อดีอื่นๆ เมื่อคุณ สร้างโดยไม่ต้องเขียนโค้ด:

• นวัตกรรมที่เร็วกว่า ลองนึกดูสิว่าคุณจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่เพิ่มขึ้น ขยายไปยังตลาดใหม่ หรือดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ได้เร็วขึ้นเพียงใดโดยที่สมาชิกทุกคนในทีมมีความสามารถในการควบคุมและสร้างแอปที่พวกเขาต้องการเพื่อให้งานเสร็จ
• ต้นทุนที่ลดลง การเขียนโปรแกรมแอปพลิเคชันแบบเดิมนั้นมีราคาแพง รวมถึงการสร้างแบบกำหนดเอง และนักพัฒนามืออาชีพต้องใช้เวลานานในการดำเนินการ
• การทำงานร่วมกันที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แทนที่ฝ่ายเทคนิคและฝ่ายที่ไม่ได้ทำงานทางเทคนิคจะทำงานแยกกัน การพัฒนาแอปแบบ no-code นี้จะรวบรวมทีมงานที่ทำงานแยกกันเข้าด้วยกันและวางพื้นฐานการทำงานเพื่อเป้าหมายและภาษาเดียวกัน
• ความสามารถในการเติบโต ธุรกิจในทุกอุตสาหกรรมกำลังมองหาวิธีที่จะทำให้ธุรกิจมีประสิทธิภาพและสร้างธุรกิจอย่างรวดเร็ว และโปรแกรมสร้างแอปแบบ no-code ช่วยให้คุณสามารถวิ่งตามการเปลี่ยนแปลงได้ โปรแกรมสร้างแอปแบบ no-code ไม่เพียงแต่ปรับใช้ได้อย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังมีทรัพยากรและความสามารถที่เพิ่มขึ้นทุกๆ วัน ซึ่งหมายความว่าเมื่อเวลาผ่านไปโปรแกรมสร้างแอปแบบ no-code จะมีความสามารถเพิ่มขึ้นมากกว่าที่มีในวันนี้
• ROI เพิ่มขึ้น เมื่อสมาชิกในทีมได้รับเครื่องมือใหม่ที่ทำให้พวกเขาสามารถเพิ่มผลงานที่สามารถทำให้กับองค์กรได้ สมาชิกทีมจะร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อดำเนินการแบบนี้ต่อไป สมาชิกทีมจะสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยใช้อินพุตและเวลาที่น้อยกว่าเดิม และคุณจะเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง

แอปชนิดใดที่ซอฟต์แวร์แบบไม่ใช้โค้ดสามารถสร้าง ได้

หากคุณสงสัยว่าส่วนนี้เป็นส่วนที่พูดถึงข้อเสียของโปรแกรมนี้ใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ใช้โค้ดสามารถสร้างแอปพลิเคชันได้หลากหลายซึ่งครอบคลุม ทุกอุตสาหกรรม

แอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนแบบไม่ใช้โค้ด

เนื่องจากโลกกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง แอปสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่มีความสําคัญกว่าเดิมมาก ซอฟต์แวร์แบบไม่ใช้โค้ดมอบเครื่องมือให้แก่ผู้สร้างเพื่อ สร้างแอปพลิเคชันสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่สำหรับมืออาชีพ ที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้ไม่ว่าอยู่ที่ใด

แอปสำหรับเว็บแบบไม่ใช้โค้ด

นักพัฒนาที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิคสามารถใช้ซอฟต์แวร์แบบไม่ใช้โค้ดเพื่อสร้างเว็บไซต์ไดนามิก หน้าแรกของเว็บ แบบฟอร์ม และแอปพลิเคชันบนเว็บที่เชื่อมต่อกับลูกค้า ได้ง่าย

แอปธุรกิจภายในแบบไม่ใช้ โค้ด

บางครั้งแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่คุณพัฒนาเป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยทีมงานของคุณในการทำงานของพวกเขาให้เสร็จสิ้น ไม่ว่าจะเป็นแอปสำหรับการจัดการข้อมูล การสนับสนุนทางเทคนิค หรือช่องทางการขาย ซอฟต์แวร์แบบไม่มีโค้ดจะมอบเครื่องมือที่ทีมของคุณต้องการในการทำงานให้ สำเร็จ

การพัฒนาแอปพลิเคชันแบบไม่ใช้โค้ดและการพัฒนาแอปพลิเคชันแบบใช้โค้ด น้อย

การพัฒนาแบบใช้โค้ดน้อย คล้ายกับแบบ no-code แต่มีส่วนร่วมมากขึ้น มีตัวสร้างแบบลากแล้วปล่อย "ตามที่เห็น" แต่ต้องการบุคคลที่มีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับโค้ดเพื่อดำเนินการสร้างและปรับใช้ให้สำเร็จ

แม้ว่าทั้งสองวิธีจะมอบเครื่องมือให้บุคลากรสามารถใช้ในการสร้างแอปพลิเคชันได้มากขึ้น แต่มีข้อแตกต่างที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกโปรแกรมที่เหมาะสำหรับ คุณ

การพัฒนาแอปแบบ ไม่ใช้โค้ด

• สร้างขึ้นมาเพื่อทุกคน สร้างแอปด้วยแนวทางแบบ no-code ผู้ใช้ต้องไม่มีประสบการณ์การเขียนโค้ดมาก่อนเพื่อสร้างและปรับใช้แอป
• แก้ไขน้อยกว่าโปรแกรมแบบ low-code เนื่องจากเครื่องมือการพัฒนาแบบ no-code ใช้บล็อกสำเร็จรูป ผู้ใช้จึงไม่สามารถป้อนโค้ดเฉพาะได้ วิธีการนี้จะจํากัดความสามารถในการปรับแต่งบล็อกโดยสมบูรณ์หรือการแก้ไขเฉพาะหรือการปรับเปลี่ยน
• เปิดใช้แอปเร็วกว่าโปรแกรมแบบ low-code การพัฒนาแบบ no-code นั้นทั้งรวดเร็วและง่ายกว่าการพัฒนาแบบดั้งเดิมและแบบ low-code นอกจากนี้ โดยปกติแล้ว แอปแบบ no-code ไม่จำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบจากผู้เกี่ยวข้องต่างๆ เช่น ทีมรักษาความปลอดภัยของคุณ เพื่อเปิดใช้งาน
• ถูกกว่าการเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิมและตัวเลือกแบบ low-code เนื่องจากเป็นซอฟต์แวร์ที่ราคาไม่สูงและไม่มีค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเพิ่มเติมทำให้โปรแกรมนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด

การพัฒนาแอปแบบ ใช้โค้ดน้อย

• สร้างขึ้นมาเพื่อคนส่วนใหญ่ เนื่องจากฟังก์ชันและความสามารถที่เพิ่มขึ้น โปรแกรมสร้างแบบ low-code มีความรู้และความสัมพันธ์ในการเขียนโค้ดขั้นพื้นฐาน ตลอดจนนักพัฒนาที่ผ่านการฝึกอบรมสามารถใช้แพลตฟอร์มการพัฒนาแอปแบบ low-code เพื่อสร้างโซลูชันได้
• ปรับแต่งได้มากกว่าแบบ no-code โปรแกรมแบบ low-code ดีกว่าแบบ no-code สำหรับกรณีใช้งานพิเศษและการสร้างที่ซับซ้อนขึ้น เนื่องจากโปรแกรมรูปแบบนี้สามารถอินพุตโค้ดเฉพาะได้และใช้นักพัฒนาที่มีทักษะในการทำงาน
• เปิดใช้แอปได้ช้ากว่าแบบ no-code ถึงแม้ว่าจะทำงานได้เร็วกว่าการเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิม แต่ การพัฒนาแบบ low-code ใช้เวลานานกว่าแบบ no-code เล็กน้อย เนื่องจากต้องใช้โปรแกรมเมอร์ที่มีความเชี่ยวชาญกว่าในการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์
• ค่าใช้จ่ายถูกกว่าการเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิมแต่ราคาสูงกว่าแบบ no-code เนื่องจากความสามารถที่มากกว่า ซอฟต์แวร์แบบ low-code มักจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าแบบ no-code และยังใช้เวลาในการทำให้แอปใช้งานได้มากกว่าด้วย

การเลือกแพลตฟอร์มแอปแบบ no-code เทียบกับแบบ low-code

โปรแกรมสร้างแอปแบบไม่ใช้โค้ดและแบบใช้โค้ดน้อยเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทั้งคู่และจะช่วยคุณพัฒนาได้เร็วขึ้น โดยใช้ต้นทุนต่ำกว่าการเขียนโปรแกรมแบบดั้งเดิม แต่มีวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยคุณตัดสินใจเลือกโปรแกรมที่คุณควร ใช้:

• เลือกแพลตฟอร์มแบบ no-code ถ้า คุณมีทรัพยากรจำกัดและจำเป็นต้องสร้างแอปพลิเคชันอย่างง่ายๆ ให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหากคุณพอใจกับข้อจำกัดด้านฟังก์ชันแบบ no-code
• เลือก แพลตฟอร์มแบบใช้โค้ดน้อย ถ้า แอปพลิเคชันของคุณมีลักษณะเรียบง่ายแต่มีความซับซ้อนที่อาจต้องใช้นักพัฒนาเพิ่มเติม หรือหากคุณต้องการเร่งการทำงานทั้งนักพัฒนามืออาชีพและผู้ใช้ทางธุรกิจ